การตลาดธุรกิจสนามบิน
สนามบินอู่ตะเภา X มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าธรนบุรี
แนวคิดด้านด้านการวางจุดยืนทางการตลาด
การวางตำแหน่งในด้านการตลาด หมายถึง กระบวนการเชิงกลยุทธ์ในการกำหนดว่าลูกค้าจะรับรู้ถึงแบรนด์หรือผลิตภัณฑ์อย่างไรเมื่อเทียบกับคู่แข่ง เป้าหมายของการวางตำแหน่งคือการสร้างภาพลักษณ์ที่โดดเด่นและเป็นที่ชื่นชอบในใจของผู้บริโภค ทำให้แบรนด์หรือผลิตภัณฑ์นั้นแตกต่างจากที่อื่น ๆ ในตลาด การวางตำแหน่งที่มีประสิทธิภาพจะต้องสอดคล้องกับความต้องการและความปรารถนาของกลุ่มเป้าหมาย เพื่อให้แน่ใจว่าลูกค้าจะเข้าใจอย่างชัดเจนว่าแบรนด์นั้นมีจุดยืนอย่างไรและทำไมถึงเป็นตัวเลือกที่ดีที่สุด
ตัวอย่าง:
Volvo วางตำแหน่งตนเองเป็นแบรนด์ที่เน้นด้านความปลอดภัย ในขณะที่ Tesla เน้นที่นวัตกรรมและความยั่งยืน แต่ละบริษัทจะเน้นคุณค่าที่แตกต่างกันและตอบสนองความต้องการของลูกค้าที่ต่างกัน เพื่อให้มีความโดดเด่นในตลาดที่มีการแข่งขันสูง
องค์ประกอบสำคัญของการวางตำแหน่ง
กลุ่มเป้าหมาย: การระบุกลุ่มผู้บริโภคที่เฉพาะเจาะจงซึ่งแบรนด์หรือผลิตภัณฑ์ต้องการตอบสนอง
การสร้างความแตกต่างจากคู่แข่ง: การเน้นคุณสมบัติหรือประโยชน์เฉพาะที่ทำให้ผลิตภัณฑ์แตกต่างจากคู่แข่ง
การนำเสนอคุณค่า: การสื่อสารถึงประโยชน์หลักหรือคำมั่นสัญญาที่ให้กับลูกค้า ซึ่งควรตอบสนองความต้องการหรือแก้ไขปัญหาให้กับพวกเขา
อัตลักษณ์ของแบรนด์: การกำหนดโทนเสียง ภาพลักษณ์ และข้อความที่สอดคล้องกับกลุ่มเป้าหมาย
ตัวอย่างการวางจึดยืนทางการตลาดสนามบินในประเทศไทย
ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ (BKK) – กรุงเทพฯ
ข้อความแสดงตำแหน่งจุดยืนทางการตลาด: "ประตูสู่นานาชาติชั้นนำของประเทศไทยสำหรับนักเดินทางทั่วโลก"
กลุ่มเป้าหมาย: นักเดินทางธุรกิจระหว่างประเทศ นักท่องเที่ยวระยะไกล และสายการบินพรีเมียม
การสร้างความแตกต่างจากคู่แข่ง: สนามบินสุวรรณภูมิถูกวางตำแหน่งเป็นสนามบินที่ใหญ่และทันสมัยที่สุดของประเทศ มีสิ่งอำนวยความสะดวกระดับโลก กระบวนการตรวจคนเข้าเมืองที่รวดเร็ว และการเชื่อมต่อเที่ยวบินระหว่างประเทศอย่างกว้างขวาง
การนำเสนอคุณค่า: สนามบินทำหน้าที่เป็นศูนย์กลางสำคัญในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ มีการเชื่อมต่อที่ราบรื่น เทคโนโลยีล้ำสมัย และบริการพรีเมียมสำหรับผู้โดยสาร รวมถึงเลานจ์สุดหรู แหล่งช้อปปิ้งและร้านอาหารระดับพรีเมียม
อัตลักษณ์ของแบรนด์: สนามบินที่ทันสมัยและเชื่อมต่อทั่วโลก มุ่งเน้นที่ความสะดวกสบาย ความหรูหรา และการให้บริการที่เป็นเลิศ ตอบโจทย์นักธุรกิจและนักเดินทางระดับสูง
ท่าอากาศยานดอนเมือง (DMK) – กรุงเทพฯ
ข้อความแสดงตำแหน่งจุดยืนทางการตลาด: "ศูนย์กลางสายการบินต้นทุนต่ำของประเทศไทยสำหรับการเชื่อมต่อภูมิภาค"
กลุ่มเป้าหมาย: นักเดินทางภายในประเทศและภูมิภาคที่มีงบประมาณจำกัด สายการบินต้นทุนต่ำ และนักท่องเที่ยวแบบแบ็กแพ็ก
การสร้างความแตกต่างจากคู่แข่ง: สนามบินดอนเมืองถูกวางตำแหน่งเป็นศูนย์กลางหลักสำหรับสายการบินต้นทุนต่ำของประเทศไทย ให้บริการการเดินทางที่ประหยัดและมีประสิทธิภาพ โดยเฉพาะเที่ยวบินระยะสั้นภายในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้
การนำเสนอคุณค่า: สนามบินดอนเมืองเป็นตัวเลือกที่คุ้มค่าสำหรับสายการบินและผู้โดยสารที่มองหาบริการที่ไม่ซับซ้อน ควบคู่ไปกับการเข้าถึงกรุงเทพฯ ที่สะดวกสบาย พร้อมสิ่งอำนวยความสะดวกพื้นฐาน
อัตลักษณ์ของแบรนด์: สนามบินที่มุ่งเน้นความคุ้มค่าและการเดินทางแบบประหยัด ให้บริการที่รวดเร็วและง่ายดายสำหรับเที่ยวบินต้นทุนต่ำในภูมิภาค
ท่าอากาศยานนานาชาติภูเก็ต (HKT) – ภูเก็ต
ข้อความแสดงตำแหน่งจุดยืนทางการตลาด: "ประตูสู่จุดหมายปลายทางบนเกาะที่มีชื่อเสียงที่สุดของประเทศไทย"
กลุ่มเป้าหมาย: นักท่องเที่ยวที่มาท่องเที่ยวพักผ่อน โดยเฉพาะผู้ที่มองหาการพักผ่อนบนชายหาดและรีสอร์ต
การสร้างความแตกต่างจากคู่แข่ง: ท่าอากาศยานนานาชาติภูเก็ตเป็นประตูสู่จุดหมายปลายทางบนเกาะที่มีชื่อเสียงระดับโลก ให้บริการเที่ยวบินที่ครอบคลุมสำหรับนักท่องเที่ยวต่างชาติที่ต้องการสัมผัสประสบการณ์รีสอร์ตและชายหาดสุดหรู
การนำเสนอคุณค่า: สนามบินตั้งอยู่ใกล้กับชายหาดและรีสอร์ตที่มีชื่อเสียงที่สุดของประเทศไทย มีการเชื่อมต่อเที่ยวบินตรงจากจุดหมายปลายทางนานาชาติที่สำคัญ โดยมุ่งเน้นไปที่นักท่องเที่ยวที่เดินทางเพื่อพักผ่อน
อัตลักษณ์ของแบรนด์: สนามบินที่มุ่งเน้นการพักผ่อน เชื่อมต่อกับนักท่องเที่ยวทั่วโลกเพื่อสัมผัสประสบการณ์หรูหราและการผจญภัยบนเกาะภูเก็ต ด้วยการเข้าถึงรีสอร์ต ชายหาด และแหล่งบันเทิงได้อย่างง่ายดาย
ท่าอากาศยานนานาชาติเชียงใหม่ (CNX) – เชียงใหม่
ข้อความแสดงตำแหน่งจุดยืนทางการตลาด:"ประตูวัฒนธรรมสู่ภาคเหนือของประเทศไทย"
กลุ่มเป้าหมาย: นักท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรม ชาวต่างชาติ นักเดินทางดิจิทัลโนแมด และนักเดินทางภายในประเทศ
การสร้างความแตกต่างจากคู่แข่ง: สนามบินนานาชาติเชียงใหม่ถูกวางตำแหน่งเป็นจุดเริ่มต้นสำคัญสู่ภูมิภาคภาคเหนือของประเทศไทย ให้บริการนักท่องเที่ยวที่ต้องการสัมผัสวัฒนธรรม สถานที่ประวัติศาสตร์ และการท่องเที่ยวเชิงนิเวศ
การนำเสนอคุณค่า: สนามบินมีการเชื่อมต่อโดยตรงกับหลายเมืองในภูมิภาคและจุดหมายปลายทางนานาชาติที่เลือก ทำให้นักท่องเที่ยวสามารถสัมผัสประสบการณ์วัฒนธรรมที่แท้จริง โดยสนามบินเองสะท้อนถึงเสน่ห์และมรดกของภูมิภาคนี้
อัตลักษณ์ของแบรนด์: ประตูสู่การท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรมและประวัติศาสตร์ มุ่งเน้นค่านิยมดั้งเดิมและการท่องเที่ยวที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการสำรวจมรดกที่ร่ำรวยของภาคเหนือของประเทศไทย
ท่าอากาศยานนานาชาติกระบี่ (KBV) – กระบี่
ข้อความแสดงตำแหน่งจุดยืนทางการตลาด:"ประตูสู่ธรรมชาติและการผจญภัยในภาคใต้ของประเทศไทย"
กลุ่มเป้าหมาย: นักท่องเที่ยวเชิงผจญภัย นักท่องเที่ยวเชิงนิเวศ และนักท่องเที่ยวที่เดินทางไปยังเกาะต่าง ๆ
การสร้างความแตกต่างจากคู่แข่ง: ท่าอากาศยานนานาชาติกระบี่ให้การเข้าถึงสถานที่ท่องเที่ยวทางธรรมชาติ เกาะ และแหล่งท่องเที่ยวเชิงนิเวศ เช่น หาดไร่เลย์ อ่าวนาง และหมู่เกาะพีพี ซึ่งมีชื่อเสียงด้านการดำน้ำ ปีนหน้าผา และความงดงามทางธรรมชาติ
การนำเสนอคุณค่า: สนามบินให้บริการการเดินทางที่สะดวกสบายแก่นักท่องเที่ยวที่ต้องการการผจญภัยกลางแจ้ง ทิวทัศน์ธรรมชาติที่สวยงาม และการพักผ่อนบนชายหาดที่เงียบสงบในภาคใต้ของประเทศไทย ในราคาที่คุ้มค่า
อัตลักษณ์ของแบรนด์: สนามบินที่เน้นความเป็นธรรมชาติและการผจญภัย เชื่อมต่อนักท่องเที่ยวกับการผจญภัยและความสงบสุขท่ามกลางธรรมชาติที่สวยงามและกิจกรรมกลางแจ้งมากมาย
ข้อความแสดงตำแหน่งจุดยืนทางการตลาด
โครงสร้างของข้อความการวางตำแหน่ง:
“สำหรับ [กลุ่มเป้าหมาย] ที่กำลังมองหา [ความต้องการของลูกค้า] แบรนด์ของเรา [ชื่อแบรนด์] คือ [หมวดหมู่ของแบรนด์] ที่นำเสนอ [คุณค่าหลัก] เพราะ [เหตุผลที่สนับสนุนการวางตำแหน่งนี้]”
ตัวอย่างข้อความการวางตำแหน่ง:
สำหรับนักท่องเที่ยวที่ชื่นชอบการผจญภัยที่กำลังมองหาประสบการณ์ใหม่ๆ แบรนด์ของเรา [แบรนด์ทัวร์] คือผู้ให้บริการทัวร์ที่นำเสนอเส้นทางการเดินทางที่ไม่เหมือนใคร เพราะเรามีทีมงานผู้เชี่ยวชาญที่คอยนำเที่ยวในสถานที่ธรรมชาติที่ยังไม่เป็นที่รู้จัก**
สำหรับผู้บริโภคที่มองหาความสะดวกสบายในชีวิตประจำวัน แบรนด์ของเรา [ชื่อแบรนด์] เป็นผู้นำด้านสินค้าเทคโนโลยีที่มอบนวัตกรรมเพื่อการใช้งานที่ง่ายและสะดวก ด้วยการออกแบบที่ทันสมัยและเป็นมิตรกับผู้ใช้
สนามบินนานาชาติอู่ตะเภาเป็นศูนย์กลางการบินที่กำลังเติบโตสำหรับนักเดินทางในเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก มอบการเข้าถึงที่สะดวกสู่เขตอุตสาหกรรม รีสอร์ท และจุดหมายปลายทางในภูมิภาค พร้อมแผนการขยายและการพัฒนาในอนาคต
พื้นฐานการพัฒนาตราสินค้า
แบรนด์ดีมีคนจำทำไมใส่แค่โลโก้ถึงไม่มีใครแคร์
แต่ถ้าเราค่อยๆ ย้อนนึกว่าโลโก้ คือตราสินค้า ทำไมหลายคนทำสติกเกอร์และมีตราสินค้าแป๊ะแต่ก็ยังไม่เห็นว่ามีใครจำได้ หรือจำได้ว่าอะไร หรือไม่รู้ด้วยซ้ำว่าขายอะไร หากแต่ถ้าเราไปมองดูโลโก้ของแบรนด์ดังๆ ทำไมถึงได้มีความรู้สึกว่าแบรนด์นี้มันคือ ร้านกาแฟพรีเมี่ยม มันคือร้านกาแฟเข้าถึงได้ง่ายในปั้ม หรือกาแฟร้านในปั้มยี่ห้อนี้ที่มี (ความเฉพาะตัว) ที่ดีกว่า อะไรคือความแตกต่างระหว่างโลกโก้ที่ถูกติต่างว่าคือแบรนด์ และอะไรคือแบรนด์ที่มีประโยชน์ วันนี้เรามาย้อนคิดกัน (ทบทวนความเป็นตราสืนค้าได้ที่นี่)
องค์ประกอบของตราสินค้าที่มีพลัง (คุณค่าของตราสินค้า)
การประเมิน 'คุณค่าของแบรนด์' สามารถอ้างอิงได้จากโมเดลคุณค่าของแบรนด์ ที่พัฒนาโดย อาเคอร์ อธิบายองค์ประกอบหลักของคุณค่าของแบรนด์ ประกอบด้วย 4 ด้าน
ด้านการตระหนักรู้ของตราสินค้า (Brand awareness) โดยมีองค์ประกอบย่อย 6 ด้าน ได้แก่
ด้านการจดจำได้ (Top recall)
การรับรู้เกี่ยวกับแบรนด์ (Brand recognition)
การเป็นแบรนด์ในใจในลำดับแรกๆ (Top of mind)
การได้รับการยอมรับของตลาด (Brand dominance)
ความรู้เกี่ยวกับแบรนด์ (ฺBrand knowledge)
ความคิดเห็นที่มาจากการรับรู้ ทัศนคติ และความชอบหรือไม่ชอบที่มีต่อแบรนด์ (Brand opinion)
ด้านการเชื่อมโมแบรนด์กับคุณลักษณะของสินค้าหรือบริการ โดยมีองค์ประกอบย่อย 4 ด้านได้แก่
ด้านองค์ประกอบสินค้า (คุณลักษณะสินค้า) (Functional product attribute)
ด้านองค์ประกอบอื่นนอกจากคุณลักษณะหลัก (คุณลักษณะสินค้า) (Non-functional product attribute) อันประกอบไปด้วย ภาพลักษณ์ ความน่าเชื่อถือไว้วางใจ คุณค่าที่ส่งมอบ ความแตกต่าง และแหล่งกำเนิดสินค้า
ด้านความสามารถองค์กร (Corporate ability)
ด้านธรรมาภิบาลและการดูแลสังคม สิ่งแวดล้อม (Corporate social responsibility)
ด้านการรับรู้ถึงคุณภาพ (Perceived quality) โดยมีองค์ประกอบย่อย 2 ด้านได้แก่
ด้านการประเมินคุณภาพผ่านคุณลักษณะสินค้าภายใน (Intrinsic attribute) เช่น คุณภาพการประกอบ องค์ประกอบสินค้าภายใน
ด้านการประเมินคุณภาพผ่านคุณลักษณะสินค้าภายนอก (extrinsic attribute) เช่น กล่อง ฉลาก
ด้านความจงรักภัคดีต่อตราสินค้า (Brand Loyalty) โดยมีองค์ประกอบย่อย 3 ด้านได้แก่
ด้านความถี่การซื้อซ้ำ (Frequency of repurchase)
ด้านความยืดหยุ่นของราคา (Price premium)
ด้านการบอกต่อประสบการณ์ (Advocacy)
องค์ประกอบเหล่านี้ถ้ายิ่งแข็งแรง คุณค่าและมูลค่าของแบรนด์จะยิ่งสูงมาก ดังนั้นการพัฒนาและจัดการแบรนด์ในมิติเหล่านี้เป็นกระบวนการดำเนินการ และลงทุนที่สำคัญ
การพัฒนาตราสินค้า
กระบวนการพัฒนาตราสินค้า โดยมี 4 ลำดับขั้น อันได้แก่ (1) การสร้างเอกลักษณ์ของแบรนด์ (2) การให้ความหมายของแบรนด์ (3) การตอบสนองต่อแบรนด์ และ (4) การสร้างความผู้พันธ์ (ดูต่อที่นี่)
ตราสินค้าที่ดีแสดงออกยังไง
ตราสินค้าที่ดีต้องมีทุนที่สร้างความแข็งแรง โดยพื้นฐานแล้วมาจากการสร้างทุนหรือพลังในตราสินค้า ผ่านการสร้างการเรียนรู้ รู้สึก เห็น ได้ยิน และมีประสบการณ์ร่วมกับตราสินค้า หากจะทราบว่าตราสินค้าที่แข็งแรงหรือยังไม่แข็งแรงหรือไม่นั้น อาจดูได้จาก 3 ประเด็นสำคัญนี้
ลูกค้าสามารถจดจำตราสินค้าได้จากลักษณะที่แสดงออกของสินค้าหรือบริการ และระลึกถึงได้เสมอในสถานการณ์ที่เกี่ยวข้องกับตราสินค้า (Strong Identify)
ทราบความแตกต่างระหว่างตราสินค้าของผู้ผลิตและตราสินค้าของคู่แข่งได้ (Differentiation)
ให้ประโยชน์และคุณค่าต่อลูกค้า ซึ่งสังเกตุได้จาก 'การตอบสนองที่ดีของลูกค้าต่อตราสินค้า (ทัศนคติที่ดีต่อตราสินค้า ชอบสินค้าภายใต้ตราสินค้า หรือมีพฤติกรรมร่วม เช่น เลื่อกตราสินค้านี้มากกว่าตราสินค้าอื่น จดจำตราสินค้านี้ได้ดี เข้าร่วมกิจกรรมทางการตลาด ยอมรับสินค้าของตราสินค้านี้ เป็นทางเลือกหรือแหล่งประเมินทางเลือกสินค้าในกลุ่มสินค้าเสมอ)'
ประโยชน์ของตราสินค้าที่ดีต่อลูกค้า
หลายคนไม่รู้ว่า การสร้างตราสินค้าที่ดีมันดีงานกับลูกค้าอย่างไร มันถึงได้ทำให้ลูกค้าเข้ามาหาตราสินค้าที่ดีเหล่านั้น วันนี้สรุปให้ว่า 'ตราสินค้าที่ดี' มันให้อะไรกับลูกค้าบ้าง 3 ข้อหลัก 11 ข้อย่อย ดังนี้
ลูกค้ามั่นใจและเชื่อใจ จาก (1) การทราบแหล่งที่มา (2) ทราบถึงระดับคุณภาพ และ (3) มีความสัมพันธ์แลกเปลี่ยนกับผู้ผลิตได้
เป็นสัญลักษณ์ ที่ช่วยยกระดับภาพลักษณ์ของลูกค้า
ลดต้นทุน จาก (1) การค้นหาสินค้า (เข้าถึงสินค้าได้เร็วขึ้นไม่เสียเวลาและค่าใช้จ่ายในการเลือกและสรรหา) (2) ลดต้นทุนจากการลดความเสี่ยงในการตัดสินใจด้าน การเงิน ความปลอดภัย การที่สินค้าทำงานได้อย่างที่คาดหวัง สังคมยอมรับ ส่งเสริมประโยชน์ด้านจิตใจ รวมถึงไม่เสี่ยงจากการที่ต้องเสียเวลาในการหาทางเลือกอื่น
ประโยชน์หลักทั้งสามข้อนี้ช่วยส่งเสริมสมการรายได้ของท่านในมิติของ ราคาที่ยืดหยุ่น จำนวนที่ขายได้ดี รวมถึงความถี่ที่ลูกค้าจะซื้อซ้ำสูง ดังนั้นอย่าละเลยทำตราสินค้าให้ดีนะครับ
ลิงค์ที่เกี่ยวข้อง
สำหรับท่านที่ต้องการต่อยอดความรู้ระดับ 'ปริญญาโท' ด้านความเป็นผู้ประกอบการนวัตรกรรมสามารถคลิกที่นี่เพื่อดูข้อมูลเพิ่มเติม
เพิ่มเราเป็นเพื่อนในเฟสบุ๊คเพื่อรับข่าวสารและข้อมูลต่อยอดความเข้าใจ
Copyright (c) 2023, Edunet Company Limited