การตลาดธุรกิจสนามบิน
สนามบินอู่ตะเภา X มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าธรนบุรี
การเข้าใจเรื่องคุณค่าของสนามบินต่อกลุ่มเป้าหมาย
คุณค่าของสินค้าหรือบริการที่กลุ่มลูกค้าธุรกิจมองหา
ลูกค้ากลุ่มธุรกิจโดยมากจะมองหาสินค้าหรือบริการที่ช่วยสร้างคุณค่าเชิงธุรกิจและความสามารถในการแข่งขันของธุรกิจเขามากขึ้น ซึ่งสามารถแบ่งออกเป็น 9 ด้าน ดังนี้
สร้างโอกาสในการเข้าถึงลูกค้า (กลุ่มใหม่) หรือขยายการเติบโตได้
เสริมสร้างความสามารถในการตอบสนองด้านการบริการ เช่น ตอบสนองได้รวดเร็วขึ้น
เพิ่มโอกาสด้านการเชื่อมโยงระหว่างกัน สร้างเสริมเครือข่าย และการสร้างมูลค่าเพิ่ม
เพิ่มประสิทธิภาพด้านการผลิต เช่น การเพิ่มปริมาณการผลิตหรือการลดเวลาในการผลิต
เพิ่มประสิทธิภาพด้านการบริหารจัดการ เช่น การลดเวลา เพิ่มความโปร่งใส จัดการได้ง่ายขึ้น ควบคุมได้ดีขึ้น (ทั้งภายในและระหว่างหน่วยงาน) ลดความกังวล
สร้างความแตกต่างและความยืดหยุ่น เช่น วัตถุดิบเฉพาะที่ทำให้สินค้าแตกต่างจากคู่แข่ง และมีความยืดหยุ่นในการผลิตที่ทำให้ลูกค้ามีความเฉพาะได้ (โรงงานยาช่วยผลิตอาหารเสริมชนิดต่างๆ ได้และช่วยให้ได้ในจำนวนที่ต้องการ)
ช่วยลดต้นทุน โดยต้นทุนที่ช่วยลดได้จากสินค้าหรือบริการที่มีคุณค่ากับลูกค้ากลุ่มธุรกิจ สามารถแบ่งไปเป็น 4 ส่วนด้วยกัน อันได้แก่
ต้นทุนด้านกระบวนการ อาทิเช่น ลดต้นทุนการเสียหาย ลดต้นทุนการทำซ้ำ เพิ่มปริมาณการผลิตต่อทรัพยากร ลดต้นทุนแรงงาน และการลดต้นทุนทางตรงและทางอ้อม (เช่น ค่าพลังงาน ค่าวิจัยและพัฒนา หรือการตรวจสอบคุณภาพ)
ต้นทุนด้านการดำเนินการและการผลิต อาทิเช่น การรับฝากขาย การส่งมอบสินค้าเมื่อต้องการ (Just-im-time) การลดวงจรเงิน (ลดจำนวนวันรอคอยจากการรับคำสั่งซื้อถึงการรับเงิน)
ลดต้นทุนด้านการบริหาร ธุรการและการขาย อาทิเช่น การทำให้การวางบิลและการจ่ายเงินง่ายขึ้น หรือมีระบบสารสนเทศที่ผู้กับเพื่อให้ในกระบวนการสั่งซื้อหรือตรวจสอบจำนวนสินค้าคงเหลือระหว่างกัน ลดต้นทุนทางการเงิน
ลดความเสี่ยงจากสถานการณ์ที่คาดไม่ถึงซึ่งเพิ่มต้นทุนการดำเนินการ เช่น การประท้วง ภัยธรรมชาติ การถูกตีกลับ
เสริมสร้างชื่อเสียงให้กับธุรกิจหรือผู้บริหาร
ช่วยตอบสนองต่อกฎหมายและกฎระเบียบ หรือช่วยยกระดับมาตรฐานทางจริยธรรม (ลดค่าใช้จ่ายด้านความยุ่งยาก)
ตัวอย่างสนามบินภูมิภาคที่สร้างคุณค่าให้กับผู้ประกอบการทัวร์เช่าเหมาลำตามคุณค่าทางธุรกิจแบบ B2B:
1. สร้างโอกาสในการเข้าถึงลูกค้าใหม่หรือขยายการเติบโต
ตัวอย่าง: สนามบินภูมิภาคอย่าง สนามบินนานาชาติภูเก็ต สามารถช่วยผู้ประกอบการทัวร์เช่าเหมาลำเข้าถึงกลุ่มนักท่องเที่ยวใหม่ โดยเฉพาะนักท่องเที่ยวต่างชาติ ด้วยการจัดเส้นทางบินที่สะดวกสบายมายังจุดหมายปลายทางท่องเที่ยวในภาคใต้ของประเทศไทย ซึ่งช่วยให้ผู้ประกอบการสามารถดึงดูดลูกค้าใหม่ ๆ และขยายการเติบโตได้มากขึ้น
2. เสริมสร้างความสามารถในการตอบสนองด้านการบริการ
ตัวอย่าง: สนามบินนานาชาติเชียงใหม่ สามารถให้การจัดการเที่ยวบินเช่าเหมาลำที่รวดเร็วและจัดสรรเวลาการบินที่เหมาะสม ช่วยให้ผู้ประกอบการทัวร์สามารถปรับตารางเวลาให้ตรงกับความต้องการของลูกค้าได้อย่างรวดเร็วและมีประสิทธิภาพ
3. เพิ่มโอกาสด้านการเชื่อมโยงระหว่างกัน
ตัวอย่าง: สนามบินอู่ตะเภา อาจร่วมมือกับโรงแรมและบริการท่องเที่ยวในท้องถิ่นเพื่อสร้างประสบการณ์การเดินทางที่ไร้รอยต่อสำหรับลูกค้าทัวร์เช่าเหมาลำ ซึ่งรวมถึงการร่วมมือกับบริการขนส่งเพื่อให้ผู้ประกอบการสามารถจัดการโลจิสติกส์การเดินทางได้ในที่เดียว
4. เพิ่มประสิทธิภาพด้านการผลิต
ตัวอย่าง: ผู้ประกอบการทัวร์เช่าเหมาลำที่ใช้ สนามบินขอนแก่น สามารถได้รับประโยชน์จากการบริการภาคพื้นดินที่มีประสิทธิภาพ ทำให้การโหลดและขนถ่ายผู้โดยสารเป็นไปได้อย่างรวดเร็ว ซึ่งช่วยให้ผู้ประกอบการสามารถจัดเที่ยวบินได้มากขึ้นในแต่ละวันและลดเวลาการรอคอย
5. เพิ่มประสิทธิภาพด้านการบริหารจัดการ
ตัวอย่าง: สนามบินนานาชาติหาดใหญ่ ให้บริการระบบจองและจัดการตารางเที่ยวบินแบบครบวงจร ช่วยให้ผู้ประกอบการทัวร์เช่าเหมาลำสามารถจัดการตารางการบิน ข้อมูลผู้โดยสาร และการจัดการบนพื้นดินได้อย่างสะดวกและรวดเร็ว ลดความซับซ้อนในการบริหารงาน
6. สร้างความแตกต่างและความยืดหยุ่น
ตัวอย่าง: ผู้ประกอบการทัวร์เช่าเหมาลำที่ใช้ สนามบินสุราษฎร์ธานี สามารถเสนอแพ็กเกจพิเศษที่มีความยืดหยุ่น เช่น บริการเลานจ์พิเศษหรือกำหนดการเดินทางที่ปรับได้ตามความต้องการของลูกค้า ซึ่งช่วยให้ผู้ประกอบการมีความแตกต่างจากคู่แข่ง
7. ช่วยลดต้นทุน
ตัวอย่าง: สนามบินนครราชสีมา อาจเสนอค่าธรรมเนียมการลงจอดและการดำเนินงานที่ต่ำกว่าสนามบินนานาชาติหลัก ทำให้ผู้ประกอบการทัวร์สามารถลดต้นทุนการดำเนินงานและเสนอราคาที่แข่งขันได้มากขึ้นสำหรับลูกค้า
8. เสริมสร้างชื่อเสียงให้กับธุรกิจ
ตัวอย่าง: การร่วมงานกับ สนามบินนานาชาติเชียงใหม่ ซึ่งมีมาตรฐานความปลอดภัยและการบริการที่สูง จะช่วยสร้างความน่าเชื่อถือและเสริมสร้างชื่อเสียงให้กับผู้ประกอบการทัวร์ โดยให้ลูกค้าได้รับประสบการณ์การเดินทางที่มีคุณภาพ
9. ตอบสนองต่อกฎหมายและกฎระเบียบ
ตัวอย่าง: สนามบินนานาชาติภูเก็ต มั่นใจว่าการดำเนินงานของเที่ยวบินเช่าเหมาลำเป็นไปตามข้อกำหนดด้านความปลอดภัยและกฎหมายระหว่างประเทศ ซึ่งช่วยให้ผู้ประกอบการทัวร์สามารถปฏิบัติตามกฎหมายและมาตรฐานทางธุรกิจได้อย่างถูกต้องและหลีกเลี่ยงความเสี่ยงทางกฎหมาย
คุณค่าของสินค้าและบริการ (ของกลุ่มลูกค้า B2C) สามารถแยกได้เป็น 4 กลุ่ม ดังนี้
คุณค่าเชิงการใช้งาน เช่น ประหยัดเวลา ง่าย สร้างรายได้ ลดความเสี่ยง ควบคุมได้ ลดแรง เหนื่อยน้อยลง ต้นทุนลดลง คุณภาพดีขึ้น
คุณค่าเชิงอารมณ์ เช่น ลดความกังวล ให้รางวัลตัวเอง ชนะ (ผ่านไปได้แล้ว) คุณค่าเชิงสัญลักษณ์ (เช่น ดาวบนบ่า) มั่นใจมากขึ้น (เช่น มั่นใจในร่างกาย) ผ่อนคลาย การดึงดูดจากคนอื่น ได้รับโอกาสหรือมีเวทีในการแสดงออก (ได้แสง) สนุก
คุณค่าเชิงการเปลี่ยนแปลงของชีวิต เช่น มีความหวัง เติมเต็มความต้องการสุดท้ายของชีวิต แรงกระตุ้นการเปลี่ยนแปลง มีคสสืบทอด ได้รับความรัก/การยอมรับในกลุ่ม การได้รับโอกาสในการเปลี่ยนแปลง
คุณค่าเชิงสังคม เช่น การไม่ยึดติด อยู่เหนือความเข้าใจ ปลดปล่ยวิญญาน การได้เติมเต็ม (ความหวัง) ความกตัญญู
การระบุกลุ่มเป้าหมาย
การระบุเป้าหมายทางการตลาดจะมาจากการที่เรามีการแบ่งกลุ่มลูกค้าให้เป็นกลุ่มๆ ก่อน และค่อยกรองกลุ่มลูกค้าเพื่อเลือกกลุ่มเป้าหมายสุดท้ายอีกที
ที่ต้องระบุกลุ่มเป้าหมายสุดท้ายให้ชัดเนื่องจากจะได้มีการใช้ทรัพยากรในการกระตุ้นการตัดสินใจกลุ่มนี้ได้อย่างมีประสิทธิภาพ (ไม่ใช้ทรัพยากรกระจายแต่ไม่สามารถบรรลุเป้าหมายได้)
กระบวนการในการระบุกลุ่มตลาดโดยปรกติจะแบ่งออกเป็น 2 ลำดับอันได้แก่ 1. การแบ่งส่วนตลาด และ 2. การระกลุ่มเป้าหมายทางการตลาด
การแบ่งกลุ่มตลาด
การแบ่งกลุ่มตลาดเป็นการมองว่าสินค้าหรือบริการของเรานั้นน่าจะมีกลุ่มผู้ใช้ไหนที่เป็นกลุ่มที่เหมาะสมต่อสินค้าเราบ้าง และจึงค่อยๆ กรองว่าแต่ละกลุ่มนั้นเป็นอย่างไร กระบวนการนนี้ว่า 'การแบ่งกลุ่มตลาด' แต่ยังไม่ได้เป็นการระบุว่าเป็นกลุ่มลูกค้าเป้าหมาย การแบ่งกลุ่มตลาดสามารถแบ่งได้หลายมิติ ดังนี้
แบ่งตามลักษณะทางประชากรศาสตร์ อันได้แก่ เพศ อายุ อาชีพ รายได้ ศาสนา บทบาททางสังคม ลำดับชั้นทางสังคม ชาติพันธ์ สถานที่อยู่อาศัย ความเชื่อ และวงจรครอบครัว
แบ่งตามไลฟ์สไตล์ อันได้แก่ ความสนใจ กิจกรรม และความคิดเห็นต่อเรื่องที่อยู่รอบตัว
แบ่งตามลักษณะนิสัยและความชอบ อันได้แก่ ชอบผจญภัย ชอบความสมบูรณ์แบบ ชอบออกไปเจอคนอื่น ชอบเก็บตัว ยุ่งตลอดเวลา
แบ่งตามพฤติกรรมการซื้อ อันได้แก่ มองหาความหลากหลาย หาสินค้าราคาดี มองหาความสะดวก ต้องการได้ง่ายไม่เหนื่อย ซื้อสินค้าบ่อยและถี่ เป็นกลุ่มที่ใช้สินค้านี้ครั้งแรก ลูกค้าประจำ
แบ่งตามสถานที่อยู่อาศัยอันได้แก่ จังหวัด ภาค เมือง นอกเมือง ชานเมือง ขนาดเมือง ระดับการเติบโตของพื้นที่ สภาพอาการ และสภาพพื้นที่
การแบ่งกลุ่มตลาดนั้นสามารถเลือกมิติต่างๆ ที่กล่าวมาอย่างใดอย่างหนึ่งหรือมากกว่ามิติใดมิติหนึ่งก็ได้ อย่างไรก็ดีจำเป็นต้องแบ่งแล้วต้องมีความชัดเจนว่า 'หาคนแบบนี้ได้ที่ไหน' ถ้ายังระบุไม่ได้ชัดเจนหรือระบุแล้วมีความซ้อนมากให้ลองแบ่งย่อยจากกลุ่มเป้าหมายมากขึ้นอีกระดับ เช่น แบ่งออกมาเป็นคนที่มีความสนใจด้านสุขภาพ แต่ในกรณีนี้ยังกว้างอยู่ไม่สามารถระบุได้ชัดเจนว่าคนที่รักสุขภาพอยู่ที่ไหนและจะสังเกตุหาได้อย่างไร ถ้าเป็นอบบนี้จำเป็นต้องเแบ่งย่อยกลุ่มคนรักสุขภาพลองมาอีก เช่น คนรักสุขภาพ สามารถแบ่งได้เป็น คนเล่นกล้าม คนต้องหุ่นที่ดี คนที่ทานเจหรือมังสวิรัส กลุ่มคนที่มีปัญหาด้านสุขภาพ
ตัวอย่างการแบ่งกลุ่มตลาด
กลุ่มลูกค้าที่ท่องเที่ยวในประเทศ สามารถแบ่งได้เป็น กลุ่มลูกค้าที่เดินทางเพื่อท่องเที่ยวในระยะใกล้ ลูกค้าเดินทางท่องเที่ยวระยะไกล ลูกค้ากลุ่มกำลังซื้อสูง ลูกค้ากลุ่มเน้นการท่องเที่ยวแบบไม่ค้าง ลูกค้าที่เน้นการพักผ่อนระยะยาว หรือกลุ่มลูกค้าที่เป็นกลุ่มเน้นทำงาน (กลุ่มลูกค้าเดินทางทำงานที่เป็นส่วนของพนักงาน กับกลุ่มลูกค้าที่เดินทาง) หรือ
กลุ่มลูกค้าที่ชอบซื้อของออนไลน์ สามารถแบ่งได้เป็น ซื้อของออนไลน์สินค้านำเข้า ซื้อของออนไลน์สินค้าอุปโภคบริโภค ซื้อของออนไลน์อาหารสำเร็จรูป กลุ่มซื้อของออนไลน์ผ่านโซเชี่ยวมีเดีย กลุ่มซื้อของออนไลน์ผ่านแอปพลิเคชั้นและเว็บไซต์ กลุ่มซื้อสินค้ามูลค่าสูง กลุ่มซื้อออนไลน์มูลค่าต่ำ กลุ่มซื้ออนไลน์ที่มีความไวต่อการลดราคาหรือทำส่งเสริมการขาย
เมื่อแบ่งกลุ่มเป้าหมายได้จัดเจนแล้วจึงจะมาพิจารณาว่ากลุ่มไหนที่เหมาะสมหรือมีความน่าสนใจในการเลือกให้เป็นกลุ่มเป้าหมายบ้าง ที่สำคัญคือกลุ่มตลาดที่ดีจะต้องระบุตัวตนได้ (ทราบว่าลักษณะเป็นใคาร) และวัดขนาดประชากรได้
การเลือกกลุ่มเป้าหมาย
การแบ่งกลุ่มตลาดจะทำให้เราประเมินได้ว่ากลุ่มตลาดไหนที่เรามีความสามารถในการเข้าถึง รวมถึงการประเมินเงื่อนไขในการเข้าถึงกลุ่มตลาดนั้นว่าดีเพียงพอหรือไม่ โดยพิจารณาจาก
ขนาดและการเติบโตของตลาด และลักาณะของกลุ่มตลาด น่าสนใจเชิงธุรกิจหรือไม่
ระดับการให้คุณค่าต่อสินค้า
สามารถเข้าถึงได้ (ความความสามารถ ทรัพยากร และทักษณะขององค์กร) และมีเงื่อนไขในการเข้าถึงอย่างไร (อาทิ เป็นกลุ่มที่มีความภัคดีสูงต่อตราสินค้า หรือเป็นกลุ่มที่ใช้บริการสินค้าหรือบริการคู่แข่งอยู่ หรือกลุ่มลูกค้านี้เป็นกลุ่มเฉพาะที่มีขนาดต่ำ)
สอดคล้องกับโมเดลธุรกิจขององค์กรหรือสอดคล้องกับกลยุทธ์องค์กร (ทางเลือก)
เมื่อนำกลุ่มตลาดแต่ละกลุ่มเข้ามาประเมินตามเงื่อนไขแล้วน่าจะสามารถแบ่งกลุ่มเป้าหมายออกได้เป็น 4 กลุ่มใหญ่ ได้แก่
กลุ่มที่ประเมินแล้วสอดคล้องกับกลยุทธ์ เข้าถึงได้ และให้ผลตอบอทนจากการลงทุนสูงสุด
กลุ่มที่มีผลตอบแทนสูง มีการเติบโตสูง สอดคล้องกับกลยุทธ์ แต่ยังมีข้อจำกัดด้านการเข้าถึง
กลุ่มที่มีความน่าสนใจ สอดคล้องกับกลยุทธ์ สามารถเข้าถึงได้ แต่ขนาดของตลาดและการเติบโตยังน่ากังวล
กลุ่มที่ไม่น่าสนใจ ซึ่อาจจะเป็นกลุ่มที่หลุดเงื่อนไขสำคัญ หรืออาจเป็นกลุ่มที่เป็นลูกค้าปัจจุบันอยู่ที่สามารถขายสินค้าได้แต่ไม่มีการเติบโต และมีต้นทุนในการขายเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ
ใครคือกลุ่มเป้าหมาย?
จาก 4 กลุ่มนี้ (ในหัวข้อการเลือกกลุ่มเป้าหมาย) กลุ่มที่เป็นกลุ่มเป้าหมายที่บริษัทควรให้ความสำคัญและลงทุนทางการตลาดคือกลุ่มที่ 1 ส่วนกลุ่มอื่นนั้นอาจพิจารณาเพิ่มความสามารถของบริษัทเพื่อเข้าถึง คอยให้กลุ่มตลาดมีความพร้อม (ตลาดหรือตัวองค์กร)
กรอบแนวคิดด้านกระบวนการตัดสินใจท่องเที่ยวของกลุ่มลูกค้าท่องเที่ยว
ปัจจัยสำคัญที่มีอิทธิพลต่อการตัดสินใจของนักท่องเที่ยว
ปัจจัยทางจิตวิทยา:
แรงจูงใจ: แรงจูงใจภายใน เช่น ความต้องการพักผ่อน ผจญภัย หรือค้นพบสิ่งใหม่ ๆ เป็นปัจจัยขับเคลื่อนการเลือกจุดหมาย
การรับรู้: วิธีที่นักท่องเที่ยวรับรู้เกี่ยวกับจุดหมายปลายทางผ่านสื่อการตลาดหรือประสบการณ์ที่ผ่านมา ส่งผลต่อการตัดสินใจ
ทัศนคติและความชอบ: ความชอบส่วนตัวเกี่ยวกับประเภทของจุดหมาย เช่น ชายหาดหรือเมืองใหญ่ และบริการระดับหรูหรือประหยัด
อิทธิพลทางสังคมและวัฒนธรรม:
ภูมิหลังทางวัฒนธรรม: นักท่องเที่ยวจากวัฒนธรรมที่แตกต่างกันอาจมีความชอบในการท่องเที่ยวที่แตกต่างกัน เช่น บางคนอาจชอบการผจญภัย ขณะที่บางคนมองหาประสบการณ์ทางวัฒนธรรม
ชั้นสังคมและกลุ่มอ้างอิง: สถานะทางสังคมและเศรษฐกิจมีผลต่อการตัดสินใจ เช่นเดียวกับอิทธิพลจากเพื่อน ครอบครัว หรือบุคคลที่เป็นแรงบันดาลใจ
ภาพลักษณ์ของจุดหมายปลายทาง:
ภาพลักษณ์ของจุดหมายปลายทางมีบทบาทสำคัญในการดึงดูดนักท่องเที่ยว จุดหมายที่มีภาพลักษณ์ดี (เช่น ปารีสในฐานะเมืองโรแมนติก หรือประเทศไทยที่มีชายหาดสวยงาม) มักดึงดูดนักท่องเที่ยวได้มากกว่าสถานที่ที่มีภาพลักษณ์ไม่ดี
อิทธิพลของเทคโนโลยี:
การตลาดดิจิทัล การใช้ แพลตฟอร์มการท่องเที่ยวออนไลน์ (OTAs) และโซเชียลมีเดีย ทำให้การค้นหาจุดหมายและการเปรียบเทียบการท่องเที่ยวเป็นเรื่องง่ายขึ้น รีวิวออนไลน์และเนื้อหาจากผู้ใช้งานมีอิทธิพลอย่างมากต่อการตัดสินใจ เนื่องจากให้ข้อมูลเชิงลึกที่เป็นจริงเกี่ยวกับแหล่งท่องเที่ยวและบริการ
กระบวนการตัดสินใจท่องเที่ยวของกลุ่มลูกค้าท่องเที่ยว
พฤติกรรมการตัดสินใจของนักท่องเที่ยวเกี่ยวกับจุดหมายปลายทางมีความซับซ้อน โดยนักเดินทางมักประเมินหลายปัจจัยก่อนที่จะตัดสินใจเลือกสถานที่ในการท่องเที่ยว ซึ่งกระบวนการนี้ได้รับอิทธิพลจากความชอบส่วนตัว แหล่งข้อมูลภายนอก และปัจจัยด้านจิตวิทยาและสังคม วงจรการตัดสินใจของนักท่องเที่ยวสามารถแบ่งออกเป็นหลายขั้นตอน ดังนี้:
1. การรับรู้ความต้องการ
กระบวนการเริ่มต้นเมื่อผู้ที่ต้องการท่องเที่ยวตระหนักถึงความต้องการหรือความปรารถนาที่จะเดินทาง ซึ่งอาจได้รับอิทธิพลจาก ปัจจัยภายใน (เช่น ความต้องการพักผ่อนหรือหลีกหนีจากความวุ่นวาย) และ ปัจจัยภายนอก (เช่น แหล่งท่องเที่ยวที่มีชื่อเสียง เทศกาล หรือกิจกรรมพิเศษ)
2. การค้นหาข้อมูล
เมื่อนักท่องเที่ยวรับรู้ถึงความต้องการเดินทาง พวกเขาจะเริ่มค้นหาข้อมูลเกี่ยวกับจุดหมายปลายทางที่เป็นไปได้ ข้อมูลนี้สามารถมาจาก แหล่งข้อมูลภายใน (ประสบการณ์หรือความรู้ส่วนตัว) หรือ แหล่งข้อมูลภายนอก (เช่น บล็อกท่องเที่ยว เว็บไซต์ โซเชียลมีเดีย คำแนะนำจากคนรู้จัก และโฆษณา)
แพลตฟอร์มออนไลน์ เช่น TripAdvisor, โซเชียลมีเดีย, และบล็อกท่องเที่ยวมีบทบาทสำคัญในขั้นตอนนี้ เพราะนักท่องเที่ยวสามารถรวบรวมข้อมูลเชิงลึกเกี่ยวกับสถานที่ท่องเที่ยว ค่าใช้จ่าย และการเดินทางได้อย่างสะดวก
3. การประเมินทางเลือก
เมื่อนักท่องเที่ยวรวบรวมข้อมูลแล้ว พวกเขาจะทำการประเมินจุดหมายต่าง ๆ โดยพิจารณาจากปัจจัยต่าง ๆ เช่น:
ราคา: ค่าใช้จ่ายทั้งหมดที่เกี่ยวข้อง เช่น ค่าเดินทาง ที่พัก และกิจกรรม
ความสะดวกในการเข้าถึง: การเดินทางไปถึงสถานที่ท่องเที่ยว (การมีเที่ยวบินหรือความใกล้)
สถานที่ท่องเที่ยวและกิจกรรม: ความหลากหลายและคุณภาพของแหล่งท่องเที่ยวและกิจกรรม
ความปลอดภัย: ความรู้สึกปลอดภัยของจุดหมายปลายทางเป็นปัจจัยสำคัญที่นักท่องเที่ยวพิจารณา โดยเฉพาะในช่วงวิกฤตสุขภาพหรือความไม่สงบทางการเมือง
อิทธิพลทางสังคม: คำแนะนำจากเพื่อน ครอบครัว และผู้มีอิทธิพลทางสื่อสามารถส่งผลต่อการเลือกของนักท่องเที่ยวได้
4. การตัดสินใจซื้อ
หลังจากประเมินแล้ว นักท่องเที่ยวจะทำการตัดสินใจเลือกจุดหมายและทำการจอง โดยได้รับอิทธิพลจาก ความพร้อมของบริการ (เช่น เที่ยวบินหรือโรงแรม) ระยะเวลาในการเดินทาง และ โปรโมชั่นพิเศษ การจองผ่านแพลตฟอร์มออนไลน์ช่วยให้ขั้นตอนนี้เป็นไปอย่างรวดเร็วและสะดวก
5. พฤติกรรมหลังการซื้อ
หลังจากการจอง นักท่องเที่ยวอาจยังคงหาข้อมูลเพิ่มเติมเพื่อยืนยันการตัดสินใจ โดยอาจดูรีวิวหรือรายละเอียดเพิ่มเติม ในระหว่างการเดินทาง ประสบการณ์ที่ได้รับจะมีผลต่อความพึงพอใจโดยรวม หากประสบการณ์เป็นไปในทางบวก จะนำไปสู่ การแนะนำต่อ หรือ การเดินทางซ้ำ ในขณะที่ประสบการณ์ที่เป็นลบอาจทำให้เกิดการร้องเรียนหรือรีวิวที่ไม่ดี
ตัวอย่างการตัดสินใจใช้บริการสนามบินภูมิภาคของกลุ่มผู้ขนส่งกับผู้ให้บริการทัวร์
กระบวนการตัดสินใจของผู้ประกอบการทัวร์เช่าเหมาลำ (Charter Tour Operators)
สำหรับ ผู้ประกอบการทัวร์เช่าเหมาลำ การตัดสินใจเลือกสนามบินภูมิภาคขึ้นอยู่กับประสบการณ์ของผู้โดยสาร ความสะดวกในการดำเนินงาน และต้นทุนที่ประหยัด ปัจจัยที่พิจารณามีดังนี้:
A. ประสบการณ์ของผู้โดยสารและบริการ (Passenger Experience and Services)
สิ่งอำนวยความสะดวกในเทอร์มินอล: ผู้ประกอบการทัวร์เช่าเหมาลำพิจารณาว่าสนามบินมีสิ่งอำนวยความสะดวกสำหรับผู้โดยสารเพียงพอหรือไม่ เช่น พื้นที่รอที่สะดวกสบาย เลานจ์ VIP และร้านอาหาร การมีสิ่งอำนวยความสะดวกที่ดีช่วยเพิ่มประสบการณ์การเดินทาง
การเช็คอินและการรักษาความปลอดภัยที่มีประสิทธิภาพ: กระบวนการเช็คอินที่รวดเร็วและการตรวจสอบความปลอดภัยที่มีประสิทธิภาพเป็นปัจจัยสำคัญ โดยเฉพาะอย่างยิ่งสำหรับผู้โดยสารกลุ่มใหญ่
B. ที่ตั้งและการเข้าถึงสนามบิน (Airport Location and Accessibility)
ความใกล้ชิดกับแหล่งท่องเที่ยว: ผู้ประกอบการทัวร์เลือกสนามบินที่อยู่ใกล้แหล่งท่องเที่ยวสำคัญ การเดินทางจากสนามบินไปยังสถานที่ท่องเที่ยวหรือรีสอร์ทที่ใช้เวลาน้อยทำให้สนามบินมีความน่าสนใจมากขึ้น
การเชื่อมต่อถนนและการขนส่ง: การเข้าถึงโรงแรม รีสอร์ท และสถานที่ท่องเที่ยวผ่านถนนและการขนส่งภาคพื้นดินที่สะดวก เช่น บริการรถรับส่ง หรือบริการรถแท็กซี่ มีความสำคัญในการเลือกสนามบิน
C. ต้นทุนและความยืดหยุ่นในการดำเนินงาน (Cost and Operational Flexibility)
ค่าธรรมเนียมสนามบิน: ผู้ประกอบการทัวร์เช่าเหมาลำให้ความสำคัญกับต้นทุนสนามบินที่ต่ำ เช่น ค่าธรรมเนียมการลงจอด ค่าจอดเครื่องบิน และค่าบริการผู้โดยสาร สนามบินภูมิภาคมักมีค่าธรรมเนียมที่ถูกกว่าสนามบินหลัก
ความยืดหยุ่นในการจัดสรรช่วงเวลาบิน (Slot Flexibility): สนามบินที่ให้ความยืดหยุ่นในการจัดสรรช่วงเวลาบิน โดยเฉพาะในช่วงฤดูกาลท่องเที่ยว มีความสำคัญสำหรับผู้ประกอบการ
D. การตลาดและความร่วมมือ (Marketing and Partnerships)
ความร่วมมือกับหน่วยงานการท่องเที่ยว: ผู้ประกอบการทัวร์เช่าเหมาลำมักร่วมมือกับหน่วยงานการท่องเที่ยวในท้องถิ่นเพื่อส่งเสริมจุดหมายปลายทาง สนามบินที่เข้าร่วมในแคมเปญการท่องเที่ยวและให้การสนับสนุนด้านการตลาดจะเป็นที่ต้องการมากขึ้น
โครงสร้างพื้นฐานการท่องเที่ยว: คุณภาพของโครงสร้างพื้นฐานทางการท่องเที่ยว เช่น โรงแรม ทัวร์ และบริการต่างๆ ใกล้สนามบินก็เป็นปัจจัยสำคัญ
E. ความปลอดภัยและการรักษาความปลอดภัย (Safety and Security)
มาตรฐานความปลอดภัยของสนามบิน: ผู้ประกอบการทัวร์เช่าเหมาลำให้ความสำคัญกับความปลอดภัย สนามบินที่มีมาตรฐานด้านความปลอดภัยและการบำรุงรักษาเป็นประจำจะได้รับการพิจารณา
การให้บริการด้านความปลอดภัยและการตรวจคนเข้าเมือง: สนามบินที่สามารถให้บริการตรวจคนเข้าเมืองและตรวจสอบความปลอดภัยที่รวดเร็วสำหรับผู้โดยสารกลุ่มใหญ่มีความสำคัญ
กระบวนการตัดสินใจของผู้ให้บริการขนส่งสินค้า (Air Cargo Operators)
ผู้ให้บริการขนส่งสินค้าต้องการสนามบินที่มีประสิทธิภาพและความเชื่อถือได้ การตัดสินใจของพวกเขาขึ้นอยู่กับปัจจัยที่เกี่ยวข้องกับการดำเนินงาน การขนส่ง และการเงิน ปัจจัยสำคัญในกระบวนการตัดสินใจมีดังนี้:
A. โครงสร้างพื้นฐานและความสามารถในการรองรับ (Infrastructure and Capacity)
ความสามารถในการจัดการสินค้า: ผู้ให้บริการขนส่งสินค้าต้องการสนามบินที่มีสิ่งอำนวยความสะดวกในการจัดการสินค้า เช่น คลังสินค้า ห้องเก็บสินค้าควบคุมอุณหภูมิ (สำหรับสินค้าเน่าเสียง่าย) และอุปกรณ์เฉพาะทางสำหรับการขนถ่ายสินค้า ความสามารถในการรองรับปริมาณสินค้าและประเภทสินค้าต่างๆ (เช่น สินค้าขนาดใหญ่ สินค้าบอบบาง) เป็นสิ่งสำคัญ
ความสามารถของรันเวย์: สนามบินที่สามารถรองรับเครื่องบินขนส่งสินค้าขนาดใหญ่ได้ เช่น Boeing 747 freighter มีความสำคัญอย่างมาก โครงสร้างพื้นฐานที่รองรับได้ดียิ่งช่วยให้สนามบินเป็นที่น่าสนใจ
ศูนย์กลางการขนส่งสินค้า: สนามบินที่มีศูนย์จัดการสินค้าทันสมัย มีการบริหารจัดการที่ดี เช่น การเคลียร์ศุลกากร การตรวจสอบความปลอดภัย และระบบการจัดเก็บที่มีประสิทธิภาพจะถูกพิจารณา
B. การเข้าถึงและการเชื่อมต่อ (Accessibility and Connectivity)
ความใกล้ชิดกับศูนย์กลางการผลิตและโลจิสติกส์: ผู้ให้บริการขนส่งสินค้ามักเลือกสนามบินที่อยู่ใกล้เขตอุตสาหกรรมและเครือข่ายการขนส่ง เพื่อลดเวลาในการขนส่งสินค้าไปยังคลังสินค้าหรือศูนย์กระจายสินค้า
การเชื่อมต่อหลายรูปแบบ (Intermodal Connectivity): สนามบินที่มีการเชื่อมต่อกับการขนส่งหลากหลายรูปแบบ (ถนน, ราง, ทะเล) เพิ่มความสะดวกและลดต้นทุนการขนส่งสินค้า
C. ประสิทธิภาพการดำเนินงาน (Operational Efficiency)
เวลาหมุนเวียนเครื่องบิน: ผู้ให้บริการขนส่งสินค้ามองหาสนามบินที่สามารถลดเวลาในการขนถ่ายสินค้าได้อย่างรวดเร็ว รวมถึงการเคลียร์ศุลกากรที่มีประสิทธิภาพ
ความพร้อมในการจัดสรรช่วงเวลาบิน (Slot Availability): สนามบินที่มีความยืดหยุ่นในการจัดสรรช่วงเวลาบินและไม่แออัดเกินไปเป็นที่นิยม
D. ค่าใช้จ่ายและราคา (Cost and Pricing)
ค่าธรรมเนียมการลงจอดและจอดเครื่องบิน: ผู้ให้บริการขนส่งสินค้าพิจารณาค่าธรรมเนียมการใช้สนามบิน เช่น ค่าธรรมเนียมการลงจอดและค่าจอดเครื่องบิน สนามบินภูมิภาคมักมีค่าธรรมเนียมที่ถูกกว่าสนามบินนานาชาติหลัก
ราคาเชื้อเพลิงและการจัดหาน้ำมัน: ราคาน้ำมันและความพร้อมในการจัดหาน้ำมันเป็นปัจจัยที่ผู้ให้บริการขนส่งสินค้าพิจารณา
E. ประสิทธิภาพด้านศุลกากรและกฎระเบียบ (Customs and Regulatory Efficiency)
การเคลียร์ศุลกากร: การดำเนินการผ่านศุลกากรที่มีประสิทธิภาพช่วยลดความล่าช้า สนามบินที่มีการให้บริการศุลกากรตลอด 24 ชั่วโมงและมีการดำเนินการที่รวดเร็วจะได้รับความสนใจ
ลิงค์ที่เกี่ยวข้อง
สำหรับท่านที่ต้องการต่อยอดความรู้ระดับ 'ปริญญาโท' ด้านความเป็นผู้ประกอบการนวัตรกรรมสามารถคลิกที่นี่เพื่อดูข้อมูลเพิ่มเติม
เพิ่มเราเป็นเพื่อนในเฟสบุ๊คเพื่อรับข่าวสารและข้อมูลต่อยอดความเข้าใจ
Copyright (c) 2023, Edunet Company Limited